นอนเป็นผัก 20 ปี ตื่นมาทั้งทีของทวงบังลังก์คือ  Senior Year


934
934 points

เราเชื่อว่าในหนังแนวอเมริกันไฮสคูลทั้งหลาย สิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคย จนกลายเป็นภาพชินตาของใครหลาย ๆ คนที่ดูก็คงจะหนีไม่พ้นการที่ มีหนุ่มนักกีฬามาดเท่ร่างกายบึกบึนควงคู่กับสาวสวยชมรมเชียร์ลีเดอร์อย่างแน่นอน ซึ่งใครจะไปคิดกันละว่าไอ้พล็อตเรื่องที่เหมือนกับเส้นเรื่องรองหนังสักเรื่องหนึ่งจะกลายมาเป็น หนังที่ถูกขยายเนื้อหาให้มีความยาวหลายชั่วโมงได้ ซึ่งหนังเรื่องนั้นก็คือเรื่อง Senior Year

โดยหนังจะว่าถึงเรื่องราวของ สเตฟานี คอนเวย์ สาวน้อยจากออสเตรเลีย ที่โยกย้ายครอบครัวมายังอเมริกาในช่วงไฮสคูล ในฐานะเด็กสาวธรรมดาที่อยากจะกลายเป็นดาวเด่นประจำโรงเรียน ความฝันของเธอในวัยทีนคือการได้เป็นสาวป๊อป ที่ได้ควงกับหนุ่มนักกีฬารูปหล่อ และท้ายที่สุดคือการได้เป็นพรอมควีนในงานพรอมตอนซีเนียร์ก่อนเรียนจบ ทว่าการไต่เต้าไปสู่ความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย เมื่อเธอต้องแข่งขันรัศมีความปังกับทิฟฟานี ที่ไม่อยากจะพลาดตำแหน่งราชินีงานพรอมเช่นกัน สเตฟานีทำทุกวิถีทางในการจะก้าวเดินไปสู่ตำแหน่งที่วาดฝันเอาไว้

ความฝันที่เธออยากจะได้รับ “สิทธิ์” ในการเป็นคนป๊อป คือการที่ตัวเธอมองเห็นเหล่าศิลปินป๊อปสตาร์ในวงการบันเทิงที่เฉิดฉายโลดแล่นอยู่ใต้แสงแฟลช ไม่ว่าจะเป็น บริทนีย์ สเปียร์ มาดอนน่า จัสติน ทิมเบอร์เลค แมนดี้ มัวร์ ฯลฯ ยังไม่รวมไปถึงบรรดาคอลัมน์ในนิตยสารประเภท How to ที่กลายมาเป็นจุดผลักดันให้สเตฟานีตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นมาเต้นเลียนแบบมิวสิควิดีโอตามเพลงดังๆ จนตัวเองได้ไต่เต้ามาเป็นกัปตันทีมเชียร์ลีดเดอร์ เที่ยวแจกยิ้มปลอมๆให้คนอื่น จนสุดท้ายเธอก็ได้ควงกับหนุ่มสุดฮอตประจำโรงเรียนและรักษาพรหมจรรย์ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะเรียนจบ

แต่ทว่าอนาคตที่กำลังจะสดใสของสเตฟานีเกิดกลับตาลปัตรเมื่อ โชว์เชียร์ลีดเดอร์เกิดผิดแผน ในจังหวะโยนตัวสเตฟานี ทำให้เธอตกลงมาหัวกระแทกพื้นและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปร่วม 20 ปีเต็ม ใครจะไปคิดว่าเธอจะกลับมาฟื้นคืนสติอีก

ซึ่งเพราะมันเป็นหนังตลกจึงทำให้การได้กลับมามีสติอีกครั้งของ สเตฟานี เต็มไปด้วยเรื่องขำ ๆ เนื่องจากเรื่องนี้จะใช้ความล้าสมัยของตัวนางเอกที่ยังคงอยู่ในยุค 2000 มาเป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์มือถือที่สามารถดูวิดีโอได้ รวมไปถึงคำพูดบางอย่างที่ไม่สามารถใช้ได้แล้วในปัจจุบัน แถมเธอยังได้พบว่าคู่แข่งของเธอกลับแต่งงานกับแฟนของเธอและมีชีวิตสุดเลิศอีกต่างหาก

แต่ถึงจะเป็นหนังแนวตลกตัวเนื้อเรื่องก็ยังคงสอดแทรกประเด็นข้อคิดเอาไว้หลาย ๆ โดยการให้ตัวของนางเอกพยายามที่จะทบทวนช่วงเวลาที่หายไปกว่า 20 ปี ของเธอในระหว่างที่เธอหลับไปกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งในตอนนั้นโลกและสังคมในรั้วโรงเรียนก็เปลี่ยนแปลงไปคนละขั้ว หนุ่มป๊อป สาวป๊อป และงานพรอมได้เปลี่ยนแปลงไป การเป็น LGBTQ ไม่ใช่เรื่องน่าอายเร้นอีกต่อไป มันเลยทำให้ตัวสเตฟานีเองต้องปรับตัว ปรับทัศนคติให้เข้ากับบริบทสังคมเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

มีหนึ่งฉากที่น่าสนใจมากคือ เมื่อเพื่อนๆในโรงเรียนชวนเธอมาทำงานกลุ่มที่บ้าน เมื่อบรรดาเพื่อนๆพยายามบอกว่าพวกเธอไม่เก๋ ไม่คูลพอที่จะได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ สเตฟานีจึงเล่าวีรกรรมในอดีตที่แปรเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นสาวป๊อปได้ในชั่วข้ามคืน นั่นคือการเต้นแบบปังๆที่ทำให้ชายหนุ่มต้องเหลียวมอง และทันใดนั้นสเตฟานีก็เริ่มเต้นเพลง (You Drive Me) Crazy ของบริทนีย์ สเปียร์

เมื่อเพลงเข้าสู่ท่อนฮุคหนังก็ตัดภาพไปเป็นสเตฟานีกำลังเต้นคัฟเวอร์ท่าเต้นในเอ็มวีเพลง (You Drive Me) Crazy แบบช็อตต่อช็อต มันอาจจะเป็นฉากโชว์เต้นเลียนแบบอันแสนธรรมดา แต่เมื่อลองวิเคราะห์แล้ว อย่างที่เราบอกไปห้วงความคิดของตัวละครนี้ยังอยู่ในยุค 2000 การได้เลียนแบบศิลปินที่เธอชื่นชอบ และมันยังอธิบายได้ชัดเจนว่าตัวละครอย่างสเตฟานียังจมอยู่ในภาพแฟนตาซีของตัวเอง

ซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้จะการสาดมุกที่ฮาบ้าง ไม่ฮาบ้างมาเป็นระยะ แต่สิ่งที่เรื่องนี้ต้องการจะสื่อสารนั้นกลับเป็นอะไรที่ตรงประเด็นนนั่นก็คือการเปรียบเทีบยบเรื่องราวในรั้วโรงเรียนของ 2 ยุคสมัยอย่าง ปี 2000 และปี 2020 ซึ่งมันก็ได้แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าบริบทของสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และจะมีการแปลงโฉมการแบ่งประเภทของผู้คนให้เบลอและเลือนลางมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วความเป็นวัยรุ่น ทุกคนพยายามที่จะมีตัวตน ได้รับการมองเห็น มากกว่าอยากจะเป็นคนไร้ตัวตนกันทั้งนั้น


Like it? Share with your friends!

934
934 points

Comments

comments