หากพูดถึงเรื่องสิ่งที่ทำให้คนอย่างเรา ๆ สามารถที่จะคลายความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงานได้นั้น เราเชื่อเลยว่าแต่ละคนนั้นก็ล้วนแล้วแต่มีวิธีในการบำบัดต่างกัน และหนึ่งในวิธีง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนมักจะเลือกที่จะใช้กันนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าการฟังเพลงนั่นเอง ซึ่งแต่ละคนนั้นก็มีแนวทางของเพลงที่ชื่นชอบแตกต่างกันไปตามสไตล์ของแต่ละบุคคล แต่เราเองก็เชื่อว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุไหนก็ตามแต่ มันจะต้องมีชื่อของนักร้องคนหนึ่งที่ต้องผ่านเข้ามาในสมองคุณอยู่เสมอ ๆ และ เขาคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เพราะเขาคือชายที่ชื่อว่า Elvis Presley
และเมื่อตัวของ Elvis Presley นั่นกลายเป็นบุคคลระดับตำนานมันจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมถึงมีคนอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของเขากันอย่างมากมาย ซึ่งสื่อที่สามารถถ่ายทอดความเป็นตัวเขาได้มากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นสื่อหลักอย่างภาพยนตร์นั่นเอง และเมื่อไม่นานมานี้ ก็ได้มีภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเขาถูกสร้างขึ้น โดยมันก็คือหนังที่มีชื่อเรื่องว่า Elvis
โดยภาพยนตร์เรื่อง Elvis นั้นเป็นผลงานการกำกับของ Baz Luhrmann ผู้กำกับชื่อดังที่เคยฝากผลงานสุดงดงามมาไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Romeo + Juliet , Moulin Rouge! , The Great Gatsby ซึ่งแนวความคิดในการสร้างเลือกนี้มันแตกต่างกับหนังชีวประวัติแบบอื่น ๆ นั่นก็คือ ตัวหนังเรื่องนี้จะไม่ได้เลือกถ่ายทอดเรื่องราวของฝั่ง Elvis เพียงอย่างเดียว
เพราะหนังเลือกที่จะเล่าผ่านมุมมองของผู้จัดของส่วนตัวของ Elvis อย่าง Tom Parker ชายผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปลิงดูดเลือด
ดูดเงิน รวมถึงใช้งาน Elvis เยี่ยงทาส และถูกกล่าวหาว่าเขานี่แหละที่เป็นคน “ฆ่า Elvis”
แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นหนังชีวประวัติวิธีการเล่าเรื่องนั้นค่อนข้างจะเป็นส่วนสำคัญมันเลยทำให้หนังเรื่องนี้นั้นมีความยาวร่วมกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถึงมันจะมีความยาวพอสมควรก็ตามแต่ทว่าตัวหนังกลับสามารถเล่าได้อย่างรวดเร็ว และ กระชับแบบสุด ๆ
จึงทำให้ในช่วงแรกของหนังคนดูอย่างเราไม่ทันได้อิน ได้ซึมซับอารมณ์ของตัวละครและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวของธุรกิจดนตรี การตกลงธุรกิจ การเอารัดเอาเปรียบ ผลประโยชน์ ถึงแม้จะไม่ได้ลึก แต่มันก็เป็นแง่มุมที่น่าสนใจเช่นกัน
อีกหนึ่งวิธีการเล่าที่ค่อนข้างมีชั้นเชิงเอามาก ๆ ของหนังเรื่องนี้นั่นก้คือ Mood and Tone ที่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงวิธีการเล่าที่เริ่มช้าลง มีซีนอารมณ์มากขึ้น แถมยังมีบทเพลงของ Elvis คอยขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างเข้ากัน และที่สำคัญ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการแสดงอันทรงพลังของ Elvis ที่ดูแล้วจัดจ้าน ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม และยอดเยี่ยม
จนเราอยากจะลุกขึ้นไปปรบมือให้กับเหล่าทีม Art ของหนังเรื่องนี้เลยจริง ๆ แถมฉากในรายการ Comeback Special ปี 1968 หรือการแสดงใน International Hotel ที่ Vegas ในปี 1969 นั้นมันเป็นอะไรที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ไร้ที่ติจริง ๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่ชมไม่ได้เลบนั่นก็คือการแสดงของ Austin Butler ที่มารับบท Elvis Presley เราต้องบอกว่าทีมงานสามารถคัดเลือกตัวมาได้เหมาะสมมาก ๆ แถมเสน่ห์ของ Austin Butler ต้องบอกว่าล้นเหลือจริง ๆ รวมถึงคำพูด และ สำเนียง
การมอง สีหน้าท่าทาง นี่ราวกับถอดแบบมจาก Elvis เลย จึงทำให้เราต้องยอมรับว่าในจุดนี้ตัวของ Austin Butler ค่อนข้างทำการบ้านออกมาได้ดีจริง ๆ
ส่วนอีกหนึ่งคนที่ทรงพลังไม่แพ้กันนั่นก็คือ Tom Hanks ในบท Tom Parker ก็แสดงออกมาได้ดีกว่าที่คิดเสียอีก แถมมันยังค่อนข้างแปลกตาเพราะเราไม่เคยเห็นเขารับบทตัวละครเทา ๆ อะไรแบบนี้เหมือนกัน
โดยสรุปแล้วภาพยนตร์เรื่อง Elvis เป็นหนังชีวประวัติที่ไม่ได้น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แถมยังขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวอย่างรวดเร็ว
รวมถึงมีบทเพลงและการแสดงให้เพลิดเพลินตลอดทั้งเรื่อง อีกทั้งการแสดงของ Austin Butlerd ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่เพราะความเร็วในการเล่านี้เองที่ทำให้ใครซึ่งอยากหาหนังที่เป็นชีวประวัติแบบจริง ๆ จัง ๆ อาจจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่โดยรวม ๆ เราเชื่อว่าหลังจากที่คุณชมหนังเรื่องนี้จบ อย่างน้อยคุณจะต้องรู้สึกอยากจะหาบทเพลงสักบทเพลงของราชาแห่งร็อคแอนด์โรลคนนี้มาฟังอย่างแน่นอน